วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

วิกฤติ! ผู้ใช้ฮอตเมล์ ล็อกอินไม่ได้


ผู้เชี่ยวชาญไอที เนคเทค ตั้งข้อสังเกตเข้าฮอตเมล์ไม่ได้ เกิดจากหลายปัจจัย พร้อมเตือนผู้ใช้งานอย่าโพสต์อีเมล์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ขณะที่ ผู้มีปัญหาสามารถทำ 7 ขั้นตอน แล้วรอผล 2 วัน…
ช่วง 2-3 วันที่ ผ่านมานี้  หลายคนที่ใช้บริการฮอตเมล์(hotmail) คงหงุดหงิดใจไม่น้อยกับการเข้ารหัสส่วนตัว หรือ ล็อกอิน ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ใช้งานมาตั้งนานไม่เคยมีปัญหา  และยังเป็นอีเมล์ประจำที่ใช้ติดต่อสื่อสารด้วย
พนักงานบริษัทรายหนึ่ง  ผู้ใช้งานบริการฮอตเมล์  เปิดเผยว่า  กว่า 10 ปี แล้ว  ที่ใช้ฮอตเมล์เป็นอีเมล์หลัก ในติดต่อสื่อสาร ทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว  จากเดิมที่เคยเข้ารหัสและใช้งานได้ตามปกติ แต่ระยะหลัง 2-3 วัน ที่ผ่านมา ไม่สามารถใช้งานได้ หลังจากนั้น มีผู้แนะนำให้เปลี่ยนรหัสส่วนตัวใหม่ ก่อนใช้งานได้ปกติเพียง 2 วัน ก็  เข้าใช้งานไม่ได้แล้ว โดยไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร   และยอมรับว่ามีปัญหากับการสื่อสารมาก
ดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค กล่าวถึง ปัญหาที่ผู้ใช้ฮอตเมล์เข้า ล็อกอินรหัสเดิมไม่ได้ว่า  จากการตรวจสอบเบื้องต้น มีข้อสังเกตว่า เวลาเข้าฮอตเมล์ต้องใส่ แอดฮอตเมล์ (@hotmail.com)  จากเดิมที่พิมพ์แค่ชื่อเมล์เท่านั้น และไม่แน่ใจว่าเป็นการบังคับของฮอตเมล์หรือไม่ หรือผู้ใช้ไม่เคยชินกับการเข้าระบบ
“เรื่องเซิร์ฟเวอร์ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ บางคนบอกเข้าได้ บางคนบอกเข้าไม่ได้ เราก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเซิร์ฟเวอร์เขามีปัญหาหรือไม่ เพราะว่ายังมีคนที่เข้าได้อยู่”  
ส่วนกรณีที่ใส่ทั้งชื่อ และรหัสผ่าน ไปแล้วมีตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขลายๆ ให้ใส่ ตามที่เห็นนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ เนคเทค  ชี้แจงว่า เป็นวิธีการเช็คก่อนเข้าสู่ระบบ ยกตัวอย่างเช่น เวลาลงทะเบียนระบบ เพื่อให้แน่ใจว่ามีใช้งานจริง ไม่ใช่โปรแกรมเป็นผู้ทำ เพราะคอมพิวเตอร์จะทำไม่ได้ เป็นต้น
ส่วนอีกประเด็น คือ ฮอตเมล์หมดอายุ ปกติถ้าไม่เข้า 1 เดือน จะโดนตัดอีเมล์ทิ้ง ทั้งนี้ เวลาสมัครจะอยู่ที่กรอกอายุการใช้งาน อีกกรณี คือ ไม่แน่ใจว่า เวลามีผู้ใช้อีเมล์จำนวนมาก แล้วจะตัดอีเมล์ของผู้ใช้รายอื่นทิ้งหรือไม่ เพราะเป็นบริการฟรี ถ้าเปิดใช้งานจำนวนมาก ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ หรือ สงวนไปให้ผู้อื่นใช้ได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวกับ กรณีที่ผู้ใช้งานเก็บข้อมูลไว้ในอีเมล์ เพราะแต่ละอีเมล์จะมีข้อจำกัดเรื่องความจุอยู่แล้ว ถ้าหน่วยความจำเต็ม อีเมล์ก็ไม่เข้าเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ ดร.โกเมน ยังมีมุมมองส่วนตัว ว่าการเข้า เว็บฮอตเมล์ ไม่น่าจะโดนโจมตีระบบคอมพิวเตอร์และฐานข้อมูลด้วยวิธีการปลอมแปลงอีเมล์ หรือ เว็บไซต์ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้อีเมล์และเว็บไซต์ เชื่อว่าเมล์นั้นมีความน่าเชื่อถือ หรือ ฟิชชิ่งด้วย ทั้งนี้  จากการทดลองโพสต์อีเมล์จำนวน  2 ชื่อ ที่ไม่ใช่ฮอตเมล์  ลงบนหน้าเฟซบุ๊ค นั้น   พบว่า ภายในเวลา  5 นาที  มีอีเมล์ที่ไม่รู้จักเป็นภาษาอังกฤษ    ส่งกลับมาที่อีเมล์ที่โพสต์ โดยมีใจความว่าต้องการเป็นเพื่อน และอยากรู้จัก และมีข้อความเป็นลิงค์ ที่ให้คลิกเพื่อสู่เว็บไซต์นั้น 
ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ  เนคเทค  อธิบายว่า  ประเด็นแรก โซเชียลเน็ตเวิร์ค  คือการชวนเพื่อนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าใส่อีเมล์ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค ผู้อื่นอาจจะส่งมาขอเป็นเพื่อนกับเรา ประเด็นที่สอง ขณะนี้ มีโปรแกรมที่กวาดอีเมล์ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต เช่น โปรแกรมที่แฮกเกอร์ เขียนขึ้นมาเพื่อเก็บชื่ออีเมล์โดยเฉพาะ แล้วเก็บไว้ในสต๊อกอีเมล์ พอถึงเวลา ก็จะส่งฟิชชิ่ง ไวรัส หรือ หนอน ที่เขาต้องการ ไปหาอีเมล์เป้าหมายเหล่านั้น 
สำหรับวิธีป้องกัน  คือ ไม่ส่งอีเมล์ ของตัวเองไปยังที่สาธารณะ   หรือ ถ้าต้องการโพสต์อีเมล์ ก็ไม่ควรพิมพ์ลงไป ให้เลี่ยงเขียนบนกราฟฟิก  หรือ ไฟล์รูปภาพ ที่ไม่ใช่ตัวอักษร  เช่น ถ่ายรูปอีเมล์ แล้วโพสต์ ข้อความลงไป  แต่ถ้า พิมพ์ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์คไปแล้ว  คงทำอะไรไม่ได้แล้ว  นอกจากป้องกันตัวเอง อย่ารับคำเชิญแปลกๆ จากอีเมล์ที่ไม่รู้จัก หรือ คลิกรับตามคำเชิญต่างๆ
วิธีการที่จะช่วยผู้ใช้งานขจัดปัญหา การล็อคอินเข้าบริการ Windows Live Hotmail เบื้องต้น  มีดังนี้
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับล็อคอินเข้าสู่ระบบฮอตเมล์ ทำตามวิธีด้านล่างนี้ เพื่อส่งเรื่องให้กับทีม Windows Live Hotmail ตรวจสอบ และติดต่อกลับทางอีเมล์ต่อไป
ขั้นตอนการแจ้งปัญหาการใช้ Hotmail (หากคุณไม่สามารถมองเห็นหน้านี้เป็นภาษาไทยได้ กรุณาไปดูรายละเอียดในการแก้ไขให้หน้านี้แสดงผลเป็นภาษาไทยที่ http://technology.impaqmsn.com/article.aspx?path=spec&rid=0&id=10976 )
1.เข้าเว็บไซต์  www.windowslivehelp.com
2.คลิกที่ ลงชื่อเข้าใช้ โดยใช้ Hotmail ของคุณ หรือ Windowslive ID อื่นๆ

3.คลิกที่ อภิปราย (Hotmail)

4.คลิกที่ ถามคำถาม

5.ถ้ายังไม่ได้ลงทะเบียนจะพบข้อความนี้ สามารถทำรายการต่อได้โดย คลิกที่ “ต่อ” และลงทะเบียนก่อน

6.จากนั้นสามารถ ถามคำถามได้โดยกรอกข้อมูลในช่องต่างๆ เลือกกลุ่มของปัญหา และ กดส่ง (Submit)

7. ปัญหาของท่านจะถูก post เข้ามาใน Forum และสามารถเข้ามาตรวจสอบรายละเอียดการแก้ไขได้ภายใน 48 ชม.


ลิงค์อื่นๆที่จำเป็น 1.สำหรับผู้ที่ไม่สามารถล็อคอินได้ แต่ยังสามารถจำอีเมล์อีกหนึ่งบัญชี ที่กรอกไว้ตอนสมัครบริการครั้งแรก ให้คลิกที่ลิงค์นี้ เพื่อทำการกู้รหัสผ่านของท่าน
https://windowslivehelp.com /PasswordReset.aspx 2. สำหรับผู้ที่ไม่สามารถล็อคอินได้ และไม่สามารถจำอีเมล์อีกหนึ่งบัญชี ที่กรอกไว้ตอนสมัครบริการครั้งแรก ให้คลิกที่ลิงค์นี้ เพื่อทำการส่ง Request ให้กับทีมงาน Hotmail เพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป  https://windowslivehelp.com/forums.aspx?productid=10
ผู้เชี่ยวชาญไอที เนคเทค ตั้งข้อสังเกตเข้าฮอตเมล์ไม่ได้ เกิดจากหลายปัจจัย พร้อมเตือนผู้ใช้งานอย่าโพสต์อีเมล์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ขณะที่ ผู้มีปัญหาสามารถทำ 7 ขั้นตอน แล้วรอผล 2 วัน…
ช่วง 2-3 วันที่ ผ่านมานี้  หลายคนที่ใช้บริการฮอตเมล์(hotmail) คงหงุดหงิดใจไม่น้อยกับการเข้ารหัสส่วนตัว หรือ ล็อกอิน ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ใช้งานมาตั้งนานไม่เคยมีปัญหา  และยังเป็นอีเมล์ประจำที่ใช้ติดต่อสื่อสารด้วย
พนักงานบริษัทรายหนึ่ง  ผู้ใช้งานบริการฮอตเมล์  เปิดเผยว่า  กว่า 10 ปี แล้ว  ที่ใช้ฮอตเมล์เป็นอีเมล์หลัก ในติดต่อสื่อสาร ทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว  จากเดิมที่เคยเข้ารหัสและใช้งานได้ตามปกติ แต่ระยะหลัง 2-3 วัน ที่ผ่านมา ไม่สามารถใช้งานได้ หลังจากนั้น มีผู้แนะนำให้เปลี่ยนรหัสส่วนตัวใหม่ ก่อนใช้งานได้ปกติเพียง 2 วัน ก็  เข้าใช้งานไม่ได้แล้ว โดยไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร   และยอมรับว่ามีปัญหากับการสื่อสารมาก
ดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค กล่าวถึง ปัญหาที่ผู้ใช้ฮอตเมล์เข้า ล็อกอินรหัสเดิมไม่ได้ว่า  จากการตรวจสอบเบื้องต้น มีข้อสังเกตว่า เวลาเข้าฮอตเมล์ต้องใส่ แอดฮอตเมล์ (@hotmail.com)  จากเดิมที่พิมพ์แค่ชื่อเมล์เท่านั้น และไม่แน่ใจว่าเป็นการบังคับของฮอตเมล์หรือไม่ หรือผู้ใช้ไม่เคยชินกับการเข้าระบบ
“เรื่องเซิร์ฟเวอร์ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ บางคนบอกเข้าได้ บางคนบอกเข้าไม่ได้ เราก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเซิร์ฟเวอร์เขามีปัญหาหรือไม่ เพราะว่ายังมีคนที่เข้าได้อยู่”  
ส่วนกรณีที่ใส่ทั้งชื่อ และรหัสผ่าน ไปแล้วมีตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขลายๆ ให้ใส่ ตามที่เห็นนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ เนคเทค  ชี้แจงว่า เป็นวิธีการเช็คก่อนเข้าสู่ระบบ ยกตัวอย่างเช่น เวลาลงทะเบียนระบบ เพื่อให้แน่ใจว่ามีใช้งานจริง ไม่ใช่โปรแกรมเป็นผู้ทำ เพราะคอมพิวเตอร์จะทำไม่ได้ เป็นต้น
ส่วนอีกประเด็น คือ ฮอตเมล์หมดอายุ ปกติถ้าไม่เข้า 1 เดือน จะโดนตัดอีเมล์ทิ้ง ทั้งนี้ เวลาสมัครจะอยู่ที่กรอกอายุการใช้งาน อีกกรณี คือ ไม่แน่ใจว่า เวลามีผู้ใช้อีเมล์จำนวนมาก แล้วจะตัดอีเมล์ของผู้ใช้รายอื่นทิ้งหรือไม่ เพราะเป็นบริการฟรี ถ้าเปิดใช้งานจำนวนมาก ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ หรือ สงวนไปให้ผู้อื่นใช้ได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวกับ กรณีที่ผู้ใช้งานเก็บข้อมูลไว้ในอีเมล์ เพราะแต่ละอีเมล์จะมีข้อจำกัดเรื่องความจุอยู่แล้ว ถ้าหน่วยความจำเต็ม อีเมล์ก็ไม่เข้าเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ ดร.โกเมน ยังมีมุมมองส่วนตัว ว่าการเข้า เว็บฮอตเมล์ ไม่น่าจะโดนโจมตีระบบคอมพิวเตอร์และฐานข้อมูลด้วยวิธีการปลอมแปลงอีเมล์ หรือ เว็บไซต์ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้อีเมล์และเว็บไซต์ เชื่อว่าเมล์นั้นมีความน่าเชื่อถือ หรือ ฟิชชิ่งด้วย ทั้งนี้  จากการทดลองโพสต์อีเมล์จำนวน  2 ชื่อ ที่ไม่ใช่ฮอตเมล์  ลงบนหน้าเฟซบุ๊ค นั้น   พบว่า ภายในเวลา  5 นาที  มีอีเมล์ที่ไม่รู้จักเป็นภาษาอังกฤษ    ส่งกลับมาที่อีเมล์ที่โพสต์ โดยมีใจความว่าต้องการเป็นเพื่อน และอยากรู้จัก และมีข้อความเป็นลิงค์ ที่ให้คลิกเพื่อสู่เว็บไซต์นั้น 
ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ  เนคเทค  อธิบายว่า  ประเด็นแรก โซเชียลเน็ตเวิร์ค  คือการชวนเพื่อนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าใส่อีเมล์ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค ผู้อื่นอาจจะส่งมาขอเป็นเพื่อนกับเรา ประเด็นที่สอง ขณะนี้ มีโปรแกรมที่กวาดอีเมล์ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต เช่น โปรแกรมที่แฮกเกอร์ เขียนขึ้นมาเพื่อเก็บชื่ออีเมล์โดยเฉพาะ แล้วเก็บไว้ในสต๊อกอีเมล์ พอถึงเวลา ก็จะส่งฟิชชิ่ง ไวรัส หรือ หนอน ที่เขาต้องการ ไปหาอีเมล์เป้าหมายเหล่านั้น 
สำหรับวิธีป้องกัน  คือ ไม่ส่งอีเมล์ ของตัวเองไปยังที่สาธารณะ   หรือ ถ้าต้องการโพสต์อีเมล์ ก็ไม่ควรพิมพ์ลงไป ให้เลี่ยงเขียนบนกราฟฟิก  หรือ ไฟล์รูปภาพ ที่ไม่ใช่ตัวอักษร  เช่น ถ่ายรูปอีเมล์ แล้วโพสต์ ข้อความลงไป  แต่ถ้า พิมพ์ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์คไปแล้ว  คงทำอะไรไม่ได้แล้ว  นอกจากป้องกันตัวเอง อย่ารับคำเชิญแปลกๆ จากอีเมล์ที่ไม่รู้จัก หรือ คลิกรับตามคำเชิญต่างๆ
วิธีการที่จะช่วยผู้ใช้งานขจัดปัญหา การล็อคอินเข้าบริการ Windows Live Hotmail เบื้องต้น  มีดังนี้
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับล็อคอินเข้าสู่ระบบฮอตเมล์ ทำตามวิธีด้านล่างนี้ เพื่อส่งเรื่องให้กับทีม Windows Live Hotmail ตรวจสอบ และติดต่อกลับทางอีเมล์ต่อไป
ขั้นตอนการแจ้งปัญหาการใช้ Hotmail (หากคุณไม่สามารถมองเห็นหน้านี้เป็นภาษาไทยได้ กรุณาไปดูรายละเอียดในการแก้ไขให้หน้านี้แสดงผลเป็นภาษาไทยที่ http://technology.impaqmsn.com/article.aspx?path=spec&rid=0&id=10976 )
1.เข้าเว็บไซต์  www.windowslivehelp.com
2.คลิกที่ ลงชื่อเข้าใช้ โดยใช้ Hotmail ของคุณ หรือ Windowslive ID อื่นๆ

3.คลิกที่ อภิปราย (Hotmail)

4.คลิกที่ ถามคำถาม

5.ถ้ายังไม่ได้ลงทะเบียนจะพบข้อความนี้ สามารถทำรายการต่อได้โดย คลิกที่ “ต่อ” และลงทะเบียนก่อน

6.จากนั้นสามารถ ถามคำถามได้โดยกรอกข้อมูลในช่องต่างๆ เลือกกลุ่มของปัญหา และ กดส่ง (Submit)

7. ปัญหาของท่านจะถูก post เข้ามาใน Forum และสามารถเข้ามาตรวจสอบรายละเอียดการแก้ไขได้ภายใน 48 ชม.


ลิงค์อื่นๆที่จำเป็น 1.สำหรับผู้ที่ไม่สามารถล็อคอินได้ แต่ยังสามารถจำอีเมล์อีกหนึ่งบัญชี ที่กรอกไว้ตอนสมัครบริการครั้งแรก ให้คลิกที่ลิงค์นี้ เพื่อทำการกู้รหัสผ่านของท่าน
https://windowslivehelp.com /PasswordReset.aspx 2. สำหรับผู้ที่ไม่สามารถล็อคอินได้ และไม่สามารถจำอีเมล์อีกหนึ่งบัญชี ที่กรอกไว้ตอนสมัครบริการครั้งแรก ให้คลิกที่ลิงค์นี้ เพื่อทำการส่ง Request ให้กับทีมงาน Hotmail เพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป  https://windowslivehelp.

การตลาดอินเทอร์เน็ต



          การตลาดอินเทอร์เน็ต
 (Internet marketing) หรืออาจใช้ว่า i-marketing, web-marketing, Digital Marketing, การตลาดออนไลน์ (online-marketing) หรือ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketing) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้อินเตอร์เน็ตเป็น สื่อกลาง และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียดของการทำการตลาด E-Marketing จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
  1. เป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจง (Niche Market)
  2. เป็นลักษณะเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง (2 Way Communication)
  3. เป็นรูปแบบการตลาดแบบตัวต่อตัว (One to One Marketing หรือ Personalize Marketing) ที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถกำหนดรูปแบบสินค้าและบริการได้ตามความต้อง การของตนเอง
  4. มีการกระจายไปยังกลุ่มผู้บริโภค (Dispersion of Consumer)
  5. เป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถสื่อสารไปยังทั่วทุกมุมโลก ตลอด 24 ชั่วโมง (24 Business Hours)
  6. สามารถติดต่อสื่อสาร โต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick Response)
  7. มีต้นทุนต่ำแต่ได้ประสิทธิผล สามารถวัดผลได้ทันที (Low Cost and Efficiency)
  8. มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมการตลาดแบบดั้งเดิม (Relate to Traditional Marketing)
  9. มีการตัดสินใจในการซื้อจากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ (Purchase by Information)
      E-Marketing เป็นส่วนผสมแนวความคิดทางการตลาด และทางเทคนิค รวมเข้าไว้ด้วยกันทั้งด้าน การออกแบบ (Design) , การพัฒนา (Development) , การโฆษณาและการขาย (Advertising and Sales) เป็น ต้น (ตัวอย่างกิจกรรมได้แก่ Search Engine Marketing, E-mail Marketing, Affiliate Marketing, Viral Marketing ฯลฯ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจและลูกค้า เนื่องจากระบบทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถสนับสนุนการร้องขอข้อมูลของลูกค้า การจัดเก็บประวัติ และพฤติกรรมของลูกค้าเอาไว้ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ ส่งผลต่อ การเพิ่มและรักษาฐานลูกค้า (Customer Acquisition and Retention) และอำนวยประโยชน์ในการประกอบธุรกิจอย่างครบถ้วน
        ในขณะที่ การตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing) จะมีรูปแบบที่แตกต่างจาก E-Marketing อย่างชัดเจน โดยการตลาดแบบดั้งเดิมนั้นจะมีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย จะไม่เน้นทำกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และมักจะใช้วิธี การแบ่งส่วนตลาด (Marketing Segmentation) โดย ใช้เกณฑ์สภาพประชากรศาสตร์ หรือสภาพภูมิศาสตร์ และสามารถครอบคลุมได้บางพื้นที่ ในขณะที่ถ้าเป็น E-Marketing จะสามารถครอบคลุมได้ทั่วโลกเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ธุรกิจต่างๆ จึงได้ให้ความสนใจกับอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก รวมถึงได้มีการนำเอาแนวคิด E-Marketing มาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

ความแตกต่างกันในแต่ละตลาด

          E-Marketing นั้นคือรูปแบบการทำการตลาดในรูปแบบหนึ่งโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือดิจิตอลเข้ามาช่วยในการทำการตลาด แต่ในความหมายสำหรับ E-Business หรือ Electronic Business นั้นจะมีความหมายที่ใกล้เคียงกับคำว่า E-Commerce หรือ Electronic Commerce มากกว่า เพียงแต่ว่าความหมายของ E-Business จะมีขอบเขตที่กว้างกว่า โดยหมายถึงการทำกิจกรรมในทุก ๆ ขั้นตอนของกระบวนการธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกว่า “ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์” ทั้ง การทำการค้าการซื้อการขาย การติดต่อประสานงาน งานธุรการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในสำนักงาน และการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นกระบวนการในการดำเนินการทางธุรกิจที่อาศัยระบบสารสนเทศทาง คอมพิวเตอร์มาใช้ในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Added Value) ตลอดกิจกรรมทางธุรกิจ (Value Chain) และลดขั้นตอนของการที่ต้องอาศัยแรงงานคน (Manual Process) มาใช้แรงงานจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computerized Process) แทน รวมถึงช่วยให้การดำเนินงานภายใน ภายนอก มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้ามากขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่นการควบคุมสต๊อคและการชำระเงินให้เป็นระบบอัตโนมัติ ดำเนินการได้รวดเร็ว และทำได้ง่าย

ยุคนี้อะไรๆ ก็ “Social Network”


Social network ได้เข้ามามีส่วนใน Lifestyle ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เพียงบนเครื่อง Desktop ที่สามารถต่ออินเตอร์เน็ตเท่านั้น ยังรวมไปถึงบนสมาร์ทโฟนอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่นักพัฒนา และนักการตลาดที่สนใจพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนมักนำมาผนวกเข้าไว้ ลองมาดูตัวอย่างกันสิว่าทุกวันนี้แอพฯ ต่างๆ เกี่ยวข้องกับ Social Network อย่างไร และมีประโยชน์อย่างไรบ้างกับการผนวกคุณสมบัติดังกล่าวเข้าไป
ปัจจุบัน Social Network ที่ได้รับความนิยมสูงและมีอันดับผู้ใช้มากสุดคงหนีไม่พ้น facebook และ twitter และถ้าสังเกตให้ดีแอพพลิเคชั่นโดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม iPhone จะต้องมีส่วนให้ทำการอัพเดตไปยัง Social Network 2 แห่งนี้ได้ ถือเป็นการอาศัยผู้ใช้ให้ช่วยโปรโมตแอพฯ นั้นๆ ไปยังฐานลูกค้าขนาดใหญ่ไปในตัว

Little Captain เป็นอีกแอพฯ หนึ่งที่ผู้ใช้สามารถอัพเดตข้อมูลไปยัง facebook หรือ twitter ได้
Crunchfu สามารถส่งข้อมูลการออกกำลังกายของเราไปยัง facebook หรือ twitter ได้
Shazam แอพฯ ที่ใช้ค้นหาชื่อเพลงโดยอาศัยเทคโนโลยี Voice Recognition ก็สามารถแชร์ให้เพื่อนๆได้เห็นว่าตัวเองกำลังฟังเพลงอะไรอยู่
และอีกรูปแบบหนึ่งของ Social Network ที่น่าสนใจคือการสร้างสังคมออนไลน์เฉพาะขึ้นมา เป็นการรวมกันของกลุ่มคนที่มีความสนใจคล้ายๆ กัน มีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีก  และเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่สามารถพบเห็นได้บ่อยขึ้นใน Mobile App Economy ด้วย  กิจกรรมที่น่าสนใจอาทิเช่น เล่นเกม ออนไลน์ร่วมกัน ร้องเพลงร่วมกัน จากทั่วทุกมุมโลก ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน ลองคิดสิดูว่า ถ้าทำเป็นแอพพลิเคชั่นเดี่ยวๆ ไม่เปิดให้มีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้ใช้แอพฯคนอื่นๆ โอกาสที่จะขยายฟีเจอร์ใหม่ๆ ฐานลูกค้าใหม่ๆ ก็จะมีแนวโน้มที่น้อยตาม
 
กรณีศึกษาที่น่าสนใจ อาทิเช่น บริษัท Tapulous กับเกม Tap Tap3 เพื่อนๆ อาจคุ้นเคยกันดีกับเกม TapTap ที่ให้ผู้เล่นใช้นิ้วกดตามจังหวะเสียงเพลงบนหน้าจอ สำหรับ Taptap3 นี้เปิดให้ผู้เล่นสามารถร่วมเล่นเกมพร้อมกันได้ เปลี่ยน  Avatar แสดงความมีตัวตน เล่นเกมรับแต้มแลกของ เป็นต้น
 
และอีกหนึ่งบริษัท Smule ผู้พัฒนาแอพฯ เจ๋งๆ อย่าง Ocarina เปลี่ยนเครื่อง iPhone ให้เป็นเครื่องดนตรีเป่า ล่าสุดร่วมมือกับค่าย Fox พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับซีรี่ย์ชื่อดังในสหรัฐอเมริกา “glee”
ในส่วนแอพพลิเคชั่น  glee จะคล้ายๆ กับ Karaoke แอพฯ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ สามารถร้องเพลงเข้าไปในเครื่อง iPhone โดยจะมีเพลง จากซีรี่ย์มาให้เพื่อนๆ ได้โหลดเนื้อร้อง ฝึกร้องตาม  และในแต่ละสัปดาห์ก็จะมีเพลงใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเพลงที่รวมมากับแอพฯ ในตอนแรกคือ Somebody to Love, Rehab และ You Keep Me Hanging On หลังจากนั้นถ้าต้องการเพลงเพิ่มก็ต้องซื้อผ่าน In-App Purchase โดยมีเพลงดังๆ อย่าง No Air และ เพลงอมตะ อย่าง Imagine เป็นต้น+
จุดเด่นที่น่าสนใจของตัวแอพฯ คือ มีเสียงร้องแบบประสานเสียงมาให้ ทำให้สามารถสร้างสรรค์ดนตรีได้เสมือนมีวงทั้งวง Backup อยู่ มีสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่าระดับเสียงของเราถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกก็มีดาวขึ้นมา ร้องเสร็จสามารถแชร์ให้เพื่อนๆ ผ่านทาง Facebook ได้ และเนื่องด้วยตัวแอพฯมี Social Network ขนาดย่อมๆ อยู่ในตัว ดังนั้นผู้ใช้สามารถฟังเสียร้องของเพื่อนๆ จากที่ต่างๆ ทั่วโลกภายในแอพฯ นี้ได้ ถ้าสนใจก็สามารถไปร่วมร้องกับเค้าเลย หรือเราจะเริ่มร้องก่อนแล้วไปชวนคนมาร้องเพลงร่วมกับเราตั้งกันเป็นกลุ่ม Club ย่อยๆ ได้อีก ถ้ามองในอีกมุมมองหนี่งตัวแอพฯก็เสมือนกับให้เราผลิตรายการวิทยุเป็นของตัว เราเอง
glee ท่าทางกำลังจะไปได้สวย เพราะมีแฟนๆ วัยรุ่นใช้ iPhone และนิยมติดตามซีรีย์นี้อยู่พอสมควร (แต่เมืองไทยเราอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยนัก) ประกอบกับเป็นการทำตลาดร่วมกัน ทั้ง Fox และ Smule แต่ถ้าซีรีย์นี้จบลงก็อดคิดไม่ได้ว่า กลุ่มผู้เล่นเดิมในนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
ในฉบับหน้าเรายังมีตัวอย่างที่น่าสนใจกับการนำ QR code และ Social Network มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และกลุ่ม Social Network เฉพาะทางของคนรักความบันเทิงทั้งหลาย แล้วพบกันในฉบับต่อไปค่ะ

หนุ่มสาวอังกฤษพบรักผ่านเกมออนไลน์

เพราะจุดเริ่มต้นของความรักนั้นมีหลายรูปแบบ บางคนอาจจะเดินสวนกันเป็นรักแรกพบ บางคนเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน บางคนเริ่มต้นจากการเป็นศัตรู และยิ่งในสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งอย่างทุกวันนี้ คู่รักบางคู่ก็เริ่มต้นจากการพูดคุยผ่านตัวอักษรในอินเทอร์เน็ต หรือเกมออนไลน์ เหมือนกับเรื่องราวของคู่รักชาวอังกฤษที่เรานำมาฝากกันวันนี้

         พอล เทอร์เนอร์ โปรแกรมเมอร์หนุ่มวัย 27 ปี เล่นเกมออนไลน์ไปพบเจอกับสาว วิคกี้ ทีเดอร์ อยู่บ่อย ๆ จนได้รู้จักและพูดคุยกันเรื่อย ๆ เป็นเวลานานกว่าปีครึ่ง ในที่สุดก็ก่อเกิดเป็นความผูกพันและความรักโดยไม่รู้ตัว จนวันหนึ่งที่เทอร์เนอร์ต้องเปลี่ยนงานใหม่ และไม่ได้ขลุกกับคอมพิวเตอร์อีกต่อไป ทีเดอร์รู้สึกใจหายและพบว่าเธอรักเทอร์เนอร์เข้าแล้ว จึงได้สารภาพรักกับเทอร์เนอร์ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นทีเดอร์ก็มีแฟนอยู่แล้ว และพยายามบังคับใจตัวเองแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ และเทอร์เนอร์เองก็มีแฟนแล้วเช่นกัน
         หลังจากการสารภาพความรู้สึกในครั้งนั้น เทอร์เนอร์จึงได้ขอนัดเจอทีเดอร์เพื่อสัมผัสตัวตนจริง ๆ กันนอกจอคอมพิวเตอร์ และก็ปรากฏว่า หลังจากเจอกันแล้ว ทั้งคู่ก็ยิ่งตกหลุมรักกันเข้าอย่างจัง โดยหนุ่มเทอร์เนอร์ได้เปิดเผยว่า เขารู้สึกว่าสาวทีเดอร์เป็นคนที่ใช่ตั้งแต่แรกพบเลยทีเดียว

         หลังจากวันนั้น เทอร์เนอร์และทีเดอร์จึงยุติความสัมพันธ์กับแฟนแล้วเริ่มต้นคบหากัน ด้วยความรู้สึกที่ทั้งคู่บอกว่ามันยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน จนในที่สุด ทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว หลังจากเจอกันมาได้ 1 ปี

10 เรื่องนี้อย่าทำบน Facebook

เดี๋ยว นี้ใคร ๆ ก็เล่น Facebook แต่ระวังให้ดีล่ะ อย่าให้การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่คุณสุดโปรดปราน มาทำลายชีวิตรักที่เพิ่งเริ่มต้นให้พังพินาศลงไป และนี่คือ 10 เรื่องที่คุณควรระวังให้จงหนักเชียว!

  เปลี่ยนสถานภาพของคุณเร็วเกินไป

เมื่อเดตครั้งแรกผ่านไป ทุกอย่างผ่านไปได้สวย และคุณมีเดตครั้งที่สองรออยู่ สิ่งแรกที่คุณทำเมื่อกลับถึงบ้านคือเข้า Facebook เพื่อเมาท์กับเพื่อน ๆ คุณอาจโพสต์ข้อความว่า รู้สึกแฮปปี้กับเดตครั้งนี้ หรือคุณกำลังตั้งตาคอยเดตครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งแตะต้องสถานภาพในโพรไฟล์ของคุณเด็ดขาด ถ้าคุณรีบไปเปลี่ยนมันเข้าละก็ คู่เดตของคุณอาจคิดว่าคุณกำลังข้ามขั้นเร็วไปหน่อยนะ

ทางเลือกที่ดีกว่าคือ รอจนกระทั่งคุณเดตกับเขาอีกสักสองสามครั้ง จนคุณรู้ตัวว่าตัวเองพร้อมกับรักครั้งนี้แน่นอนแล้ว และถ้าทุกอย่าง มีแววจะเป็นไปด้วยดี ลองถามคู่เดตของคุณถึงความรู้สึกที่มีต่อกันว่า จะใช้คำว่า "แฟน" ได้รึยัง โดยเฉพาะเมื่อคุณจะไปบอกกับคนอื่น ๆ หากคุณกับเขาเป็นเพื่อนกันใน Facebook แล้ว ค่อย ๆ คุยกันว่าจะเริ่มคิดเปลี่ยนสถานภาพในข้อมูลส่วนตัวกันเมื่อไหร่

  ไม่เปลี่ยนสถานภาพของคุณเลย

แต่ในทางกลับกัน ถ้าสถานภาพใน Facebook ของคุณยังคงเป็น "โสด" อยู่ ในขณะที่แฟนคุณเปลี่ยนสถานะเรียบร้อยว่ากำลังคบอยู่กับคุณ แล้วลิงก์มาที่โพรไฟล์ของคุณด้วย ระวังให้ดีว่าแฟนคุณอาจจะเริ่มสงสัยว่า คุณอาจจะไม่สนใจเขาจริง ๆ อย่างที่คุณบอกกับเขาตอนเดตก็ได้ พูดเรื่องนี้กับเขาตรง ๆ ว่า คุณแคร์เขาจริง ๆ แต่ไม่ถึงกับต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ หาก แฟนคุณกังวลว่าการไม่เปลี่ยนสถานภาพอาจกำลังส่งสัญญาณที่ไม่ดี วิธีหนึ่งคือการแก้ไขข้อมูลโดยไม่โชว์สถานภาพของคุณไปเลย หรืออีกทางเลือกคือตั้งค่าความเป็นส่วนตัวใหม่ โดยเลือกว่ามีใครบ้าง ที่จะสามารถเห็นสถานภาพของคุณได้

  วนเวียนอยู่กับ Wall ของเขา

ถ้าคุณเล่น Facebook เป็นประจำ และคอยเช็กอัพเดตหลายครั้งในแต่ละวัน มันจะเป็นทนทางที่ดีในการติดต่อกับคนรู้จักได้ แต่ ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งของนักเล่น Facebook ตัวแม่ คือการใช้เวลานั่งโพสต์ข้อความและความเห็นสารพัดบน Wall ของเขามากไปหน่อย เขาอาจจะคิดว่าคุณกำลังสอดแนมเขา หรือคิดเลยเถิดเร็วไปหน่อย ฉะนั้น รู้จักกระตือรือร้นแต่พอประมาณ อย่าโพสต์ความเห็นทุกครั้งที่เขาขึ้นสถานะใหม่ หรือโพสต์ข้อความบน Wall ของเขาหลายครั้งเกินไปในแต่ละวัน ควรแสดงความสนใจที่มีต่อเขาอย่างพอดี ๆ อย่าให้โอเว่อร์เกินไปจนดูเหมือนคุณอยากครอบงำเขาล่ะ

  โพสต์รูปแฟนมากเกินไป หรือโพสต์รูปน่าขายหน้าของเขา

เรามักจะถ่ายรูปไว้เพื่อเตือนถึงช่วงเวลาพิเศษของเรา รวมทั้งเดตที่น่าตื่นเต้นกับแฟนใหม่ และ Facebook ได้ทำให้มันเป็นเรื่องง่ายที่จะแบ่งปันภาพเหล่านั้นกับคนอื่น ๆ ในโลกไซเบอร์ หากข้อผิดพลาดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นก็คือการโพสต์ภาพมากเกินไป โดยเฉพาะรูปที่เป็นส่วนตัวและรูปน่าอาจสุด ๆ เหมือนกับตอนที่คุณเปลี่ยนสถานภาพเร็วเกินไป เขาอาจมองด้วยว่าภาพเหล่านี้ เป็นการละเมิดต่อความไว้ใจที่เขามีต่อคุณ เคารพความเป็นส่วนตัวของเขาบ้าง และทำให้เขาไว้ใจด้วยการขออนุญาตก่อนที่จะโพสต์รูป

  โพสต์ข้อมูลเรื่องการเดตของคุณมากไปหน่อย

"TMI" กลายมาเป็นคำย่อสุดฮิตของ "Too Much Information" หรือการให้รายละเอียดมากเกินไปในวัฒนธรรมชาวป๊อปซะแล้วโดยทั่วไป คำนี้ใช้เพื่อหยุดใครบางคนจากการสาธยายบางสิ่งที่ไม่เข้าหูผู้ฟัง เหมือนกับการที่คุณบรรยายอาการป่วยตอนเป็นหวัดซะละเอียดยิบนั่นแหละ เมื่อเป็นเรื่องความสัมพันธ์ครั้งใหม่ การบอกรายละเอียดเรื่องการเดตมากเกินพอดีนั้น อาจนำความรักโรแมนติกนี้ เข้าสู่ขีดอันตรายได้ เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของแฟนคุณหน่อย คุณจะได้รับความไว้ใจจากเขา หากรู้จักเก็บเรื่องบางอย่างไว้กับตัวเองบ้าง

  ตามติดเพื่อนของแฟนคุณ

เมื่อคุณกับแฟนติดต่อกันทาง Facebook คุณจะสามารถพบเพื่อนของกันและกันได้ด้วย แต่อย่าส่งคำขอเป็นเพื่อนหรือ Friend Request ไปให้เพื่อนทุกคนของแฟนคุณเด็ดขาด เพราะมันก็เหมือนกับที่คุณโพสต์ข้อความมากเกินไปนั่นแหละ คุณอาจจะก้าวข้ามขอบเขตความไว้ใจเขาเกินไป ก่อนเขาจะสะดวกใจที่จะแนะนำเพื่อนของเขากับคุณ

แต่หากคุณยังคงอยากติดต่อกับเพื่อนแฟน โดยที่เขายังไม่แนะนำให้รู้จัก ค่อย ๆ เลือกเพื่อนเขาเพียงครั้งละคนหรือสองคนเท่านั้นในแต่ละสัปดาห์ และในการส่งคำขอไป ก็ส่งข้อความแนะนำตัว สักหน่อยด้วยว่า ทำไมคุณถึงอยากเป็นเพื่อนกับเขาแต่ก็จำไว้ด้วยว่าเพื่อนแฟนคุณอาจไม่ตอบรับ และที่แย่กว่านั้น เขาอาจไปบ่นให้แฟนของคุณฟังอีกต่างหาก เพื่อป้องกันความเสี่ยง คุณก็อาจขอให้เขาแนะนำเพื่อนให้คุณรู้จักบ้างสักหน่อย เพื่อจะได้ไม่ดูเหมือนคุณเป็นพวกลักลอบสอดแนม

  เรียกร้องให้เพื่อนคุณทุกคนมาเป็นเพื่อนกับแฟนคุณ

เมื่อมีรักใหม่ อย่าทำตัวเหมือนกับว่า Facebook แฟนคุณเป็นเหมือนเว็บไวรัสที่คุณจะแพร่ต่อไป เขาอาจจะรู้สึกว่าแบบนี้มันมากเกินไปก็ได้ ฉะนั้น อย่าแนะนำให้เพื่อนคุณทุกคนส่งคำขอเป็นเพื่อนไปให้แฟนคุณ เพราะบางทีแฟนคุณอาจจะเลือกมากเวลาที่จะเป็นเพื่อนกับใคร ก็ตาม ทางที่ดีกว่าคือแนะนำแฟนคุณกับเพื่อนของคุณแต่ละคนอย่างเป็นส่วนตัวก่อน และปล่อยให้เพื่อนตัดสินใจเองว่าจะติดต่อกับแฟนคุณหรือไม่ นอกจากนี้ก็อย่าตั้งหน้าตั้งตาบอกให้เพื่อนคุณทุกคนเข้าไปข้องแวะกับ Wall ของเขา และโพสต์ความเห็นในเรื่องที่คุณกำลังติดตามเขาอยู่ อะไรจะแย่ไปกว่าการมีคนคนหนึ่งเฝ้าสอดแนมคุณล่ะ

  แสดงความเคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นเกี่ยวกับเขา

เมื่อคุณเริ่มคบหากับหนุ่มคนใหม่ อาจมีอีกหลายเรื่องที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับเขา ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ในระหว่างคบหากัน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีหลายเรื่องที่คุณอาจยังไม่แน่ใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ความสงสัย และท้ายสุดก็อาจนำไปสู่ภาวะเสี่ยงในความสัมพันธ์ที่เรียกว่าความหึงหวงนั่น เอง

Facebook อาจทำให้ความกังวลบานปลาย เพราะมันจะคอยเปิดเผยให้คุณได้เห็นเพื่อน ๆ ของเขา สิ่งที่เขาชอบ และความเห็นของเขาที่อาจฟังดูน่าสงสัย แต่อย่าปล่อยให้ความกังวล เล่นงานคุณ ให้รับฟังแฟนของคุณ และอย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินจากบทสนทนาใดก็ตามระหว่างเขากับเพื่อนที่คุณได้ อ่าน และถ้าคุณเกิดข้องใจขึ้นมาละก็ อย่าโพสต์ข้อความออกไปเขียว มันอาจจะทำให้กลายเป็นเรื่องหึงหวง และกัดกร่อนความเชื่อถือที่แฟนคุณมีให้ แต่ในเดตครั้งต่อไป ให้ถามเรื่องที่คุณกังวลใจอยู่ให้เคลียร์ยิ่งขึ้น และคอยฟังคำตอบ อาจจะมีเรื่องให้คุยกันอีกมากที่คุณอาจจะไม่มีวันรู้ถ้าไม่ถามเขา

  โพสต์ข้อความเปิดโปงความลับส่วนตัวของแฟนคุณ

เมื่อคุณกับหนุ่มคนใหม่เริ่มรู้สึกคุ้นเคยและสะดวกใจกันแล้ว คุณอาจแบ่งปันความลับอันลึกซึ้งแก่กัน แต่ถ้าแฟนคุณบอกความลับของเขาที่คุณคิดว่ายากจะเก็บไว้คนเดียวได้ คุณอาจจะรู้สึกอยากระบายบน Facebook แม้ว่าคุณจะตั้งค่ากำหนดไว้แล้วว่าใครสามารถเห็นข้อความได้บ้างก็ตาม มันก็ยังดูเป็นการป่าวประกาศอยู่ดี เมื่อมีคนซัก 50 คนหรือมันกว่านั้นมาเห็นเข้าในคราวเดียว

ถึง แม้คุณจะเปิดเผยความลับนี้กับเพื่อนที่ไว้ใจแค่คนเดียว คุณก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเรื่องจะไม่ถูกส่งต่อไปยังเพื่อนที่ไว้ใจอีกคน หนึ่ง ซึ่งอาจต่อเนื่องไปได้อย่างแทบไม่มีที่สิ้นสุด และข้อความเดียวกันนี้อาจย้อนกลับไปถึงตัวแฟนคุณได้เองในที่สุดเช่นกัน เมื่อเขาได้รู้ว่าคุณฝ่าฝืนกฎความไว้วางใจของเขา มันอาจสายไปแล้วก็ได้ที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่เสียหาย ขอเตือนไว้เลยว่า เมื่อมันเป็นเรื่องลับของแฟนคุณ อย่าได้พิมพ์ข้อความพวกนี้เด็ดขาด

  โกหกเรื่องสถานภาพของคุณ

ไม่ ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ครั้งไหน หนึ่งในสิ่งที่แย่ที่สุดที่คนเราจะทำได้ก็คือ ความไม่ซื่อสัตย์กับอีกคนหนึ่ง ความไว้ใจคือสิ่งสำคัญในความผูกพันกับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนรักก็ตาม ทั้งเวลาออนไลน์และพบกันตัวต่อตัว และใน Facebook คุณอาจจะโพสต์อะไรก็ได้ ทั้งนั้นจนกระทั่งมีคนจับได้ว่าคุณโกหก และเมื่อคุณมีรักครั้งใหม่ การหลอกลวงนี้ยังอาจทำให้เกิดปัญหานอกจอคอมพ์อีกด้วย หากเขาจับได้ว่าคุณโกหกเพื่อนใน Facebook เรื่องความสัมพันธ์ คุณอาจไม่มีโอกาสอีกเลยที่จะเรียกคืนความไว้ใจของแฟนคุณกลับมาได้ และยังทำให้เกิดปัญหาซ้ำสองคือ คุณอาจสูญเสียความไว้วางใจจากทั้งแฟนและบรรดาคนที่คุณโกหก เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดนี้ คุณต้องมีความโปร่งใสในเรื่องนี้ และอย่ากระตือรือร้นกับการใช้ Facebook จนเกินไป สัมพันธ์รักออนไลน์ของคุณและเขาก็จะเป็นไปด้วยดี

แฉเน็ตเครือข่ายสังคม ช่องทางฮิต-นัดมีเซ็กซ์

เอแบคโพลแฉผลสำรวจล่าสุด เนื่องในวันเอดส์โลก

พบแนวโน้มมีเซ็กซ์กันเองในหมู่เพื่อนร่วมงาน เจ้านายกับลูกน้อง รวมถึงใช้เว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม เป็นช่องทางในการมีเพศสัมพันธ์กัน เพิ่มมากขึ้นเท่าตัว ขณะที่การซื้อบริการทางเพศกลับลดลง ชี้เป็นแนวโน้มที่ต้องรณรงค์ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคเอดส์ 'จุรินทร์' เผยตัวเลขคนไทยที่ป่วยเป็นเอดส์ที่ยังมีชีวิตมีอยู่ 5.2 แสนคน ทุกปีจะมีคนติดเชื้อใหม่ถึง 1 หมื่นคน ตั้งเป้าจะให้เหลือปีละ 5 พันคน

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องในวันที่ 1 ธ.ค. เป็นวันเอดส์โลกของทุกปี

ดร. นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ (Cornell Institute for Public Affairs) มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง พฤติกรรมเสี่ยงของคนเมืองและการยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ในสังคมไทย กรณีศึกษาเปรียบเทียบแนวโน้มปี 2548 กับปี 2553 ในกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,269 ตัวอย่าง โดยดำเนินการสำรวจในระหว่างวันที่ 20-27 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่ของคนที่ถูกศึกษาหรือร้อยละ 70.4 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว เมื่อเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆ ที่คิดว่าจะทำให้ติดเชื้อเอดส์ได้ ที่เคยสำรวจปี 2548 กับ ปี 2553 พบว่า คนที่เข้าใจว่า การรับเลือดจากผู้ป่วยเอดส์จะทำให้ติดเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 88.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 98.3 สัดส่วนของคนที่เข้าใจว่าการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วยเอดส์จะทำให้ติด เชื้อเพิ่มขึ้นจาก 51.1 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 97.5 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของคนที่เข้าใจว่า ถ้าว่ายน้ำในสระเดียวกับผู้ป่วยเอดส์จะทำให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.6 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 27.2 ในปี 2553 นอกจากนี้ สัดส่วนของคนที่คิดว่าการถูกเนื้อต้องตัวกับผู้ป่วยเอดส์จะทำให้ติดเชื้อ เอดส์ไปด้วยเพิ่มจากร้อยละ 1.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 10.2

ประเด็น ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มคนที่ผู้ถูกศึกษามีเพศสัมพันธ์ด้วยที่เป็นสามีภรรยา ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 71.5 มาอยู่ที่ ร้อยละ 68.5 ในขณะที่กลุ่มคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบแฟนหรือคู่รักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อย ละ 30.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 34.1

ประเด็นที่น่าจับตามองคือ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ขายบริการทางเพศลดลงจาก 3.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 และการมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน กับเจ้านาย ลูกน้อง คนที่รู้จักกันทางอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวคือจากร้อยละ 2.2 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.0 ตามลำดับ
เมื่อ วิเคราะห์พฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อเอดส์ พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการสำรวจปี 2548 ร้อยละ 62.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 83.2 ในการสำรวจปี 2553 ครั้งล่าสุด

และผลสำรวจยัง พบด้วยว่า สัดส่วนของคนที่ระบุมีคนใกล้ชิดติดเชื้อเอดส์เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 11.4 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.1 ในปี 2553 โดยในกลุ่มที่มีคนใกล้ชิดติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 43.8 ระบุเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก ร้อยละ 29.6 ระบุเป็นเพื่อนบ้าน ร้อยละ 22.2 ระบุญาติพี่น้องที่พักอาศัยต่างบ้านกัน รองๆ ลงไปคือ เพื่อนร่วมงาน ญาติในบ้านเดียวกัน และอื่นๆ คือ สามี ภรรยา แฟน และคนรัก เป็นต้น

ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ แนวโน้มการยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ในสังคมไทยยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

และผลวิจัยค้นพบว่า ถ้าผู้ป่วยโรคเอดส์มีระยะใกล้ชิดกับคนตอบแบบสอบถามมากเพียงไร สัดส่วนของคนที่ยอมรับผู้ป่วยเอดส์ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่น การยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ยืนรอรถเมล์ป้ายเดียวกันรับได้ร้อยละ 87.4 ในปี 2548 และร้อยละ 86.7 ในการสำรวจครั้งล่าสุด การดูหนังในโรงภาพ ยนตร์เดียวกัน รับได้ร้อยละ 83.9 ในปี 2548 และร้อยละ 81.6 ในปี 2553 และมีบ้านอยู่ติดกับบ้านของผู้ป่วยโรคเอดส์ รับได้ร้อยละ 76.9 ในปี 2548 และร้อยละ 71.7 ในปี 2553 แต่เมื่อถามถึงการโอบกอดผู้ป่วยโรคเอดส์ พบว่า รับได้ร้อยละ 24.6 ในปี 2548 และร้อยละ 41.1 ในปี 2553 และถ้าดื่มน้ำแก้วเดียวกันกับผู้ป่วยโรคเอดส์ พบว่ารับได้ร้อยละ 17.7 ปี 2548 และร้อยละ 13.7 ในปี 2553 ตามลำดับ
ยิ่ง ไปกว่านั้น เห็นได้ชัดเจนว่า ส่วนใหญ่ของผู้ถูกศึกษาหรือร้อยละ 67.4 ในปี 2548 และร้อยละ 56.7 ในปี 2553 ยังคงรู้สึกว่า โรคเอดส์เป็นเรื่องน่ากลัวและ ถ้าคนที่ตนเองรักติดเชื้อโรคเอดส์ พบว่าสัดส่วนของคนที่ยอมรับได้ลดลงจากร้อยละ 66.7 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 40.4 ในปี 2553 และสัดส่วนของคนที่ยอมรับไม่ได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.9 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 30.0 ในปี 2553 สำหรับแนวทางป้องกันในมุมมองของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.7 ระบุป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ สวมถุงยางอนามัย รองๆ ลงไปคือ ไม่เปลี่ยนคู่นอน ไม่มีคู่นอนหลายคน เปลี่ยนเข็มฉีดยาทุกครั้งเมื่อมีการใช้งานแล้ว และควรรณรงค์ให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง

ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเวลาผ่านไป

4-5 ปี พฤติกรรมเสี่ยงของประชาชนในการติดเชื้อเอชไอวี และเป็นโรคเอดส์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่การยอมรับและไม่ยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการ สำรวจเมื่อ 5 ปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคเอดส์มากเท่าไหร่ สัดส่วนของคนที่ยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์มีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเจน

จากผลสำรวจ มีข้อเสนอแนะให้เฝ้าระวังสถานการณ์โรคเอดส์ในสถานที่ทำงาน เพราะผลสำรวจพบมีแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์ของ "คนทำงาน"

และในเครือข่ายสังคมทางอินเตอร์เน็ตต่างๆ เพราะมีอัตราการเพิ่มขึ้นของคนที่มีเพศสัมพันธ์กันเกือบเท่าตัว ทางออกคือ การเร่งรณรงค์ให้กับประชาชนในสถานที่ทำงาน ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน และคำเตือนรณรงค์ป้องกันและให้มีการยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ ไม่กีดกัน ไม่แสดงความรังเกียจผู้ป่วยทั้งในที่ทำงาน สถานประกอบการต่างๆ ในชุมชนหนาแน่น และในโลกออนไลน์

นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องในวันเอดส์โลก ซึ่งตรงกับวันที่ 1 ธ.ค.ของทุกปี การจัดกิจกรรมในปีนี้ใช้คำขวัญว่า "สิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ คือสิทธิมนุษยชน"

ปี นี้เน้นการจัดนิทรรศการให้ความรู้กับเยาวชน และการกระจายถุงยางอนามัยให้ทั่วถึง เนื่องจากถือเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ สำหรับสถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทย ขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ 520,000 คน ขณะ ที่การติดเชื้อจากชายรักชาย มีร้อยละ 33 ถือว่าเป็นจำนวนมากที่สุด รองลงมาติดเชื้อจากคู่นอนร้อยละ 28 และการติดเชื้อจากใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพื่อเสพยาเสพติด นอกจากนี้ ยังพบว่าแต่ละปี มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 คน ดังนั้นในปี 2554 ตั้งเป้าลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลงครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 5,000 ราย พร้อมเตรียมผลักดันให้แพทยสภาพิจารณาให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถตรวจเลือดหาเชื้อเอดส์ได้ด้วยความสมัครใจ โดยไม่ต้องผ่านคำยินยอมจากผู้ปกครองเพื่อป้องกันความอาย และกลัวผู้ปกครองตำหนิ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการรักษา

วิธีต่ออินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ


   โทรศัพท์มือถือหลายรุ่น หลายยี่ห้อ สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้โดยตรง ผ่านทาง GPRS/EDEG/3G แต่ติดปัญหาในเรื่องของขนาดของหน้าจอ ที่อาจจะเล็กไปสำหรับผู้ใช้งานหลายๆ คน รวมทั้งผมด้วย อีกทั้งไม่สะดวกในการ download file โปรแกรม เพื่อนำมาใช้งานอื่นๆ อีกด้วย วันนี้ผมมีวิธีในการเชื่อมต่อมือถือ Nokia ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต มาเล่าสู่กันฟัง

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์มือถือ

  • คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ laptop
  • โปรแกรม Nokia PC Suite
  • โทรศัพท์ Nokia พร้อม USB Cable

วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์

  1. ติดตั้งโปรแกรม Nokia PC Suite (ทำตามหน้าจอไปเรื่อยๆ)
  2. ต่อสาย USB Cable ด้านหนึ่งกับโทรศัพท์ อีกด้านต่อเข้ากับ USB Port ของคอมพิวเตอร์
  3. ที่หน้าจอมือถือ จะแสดงข้อความว่าจะเชื่อมต่อแบบใด? (PC Suite, Printing & media, Data Strage) ให้เราเลือก PC Suite
  4. ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในส่วนของโปรแกรม Nokia PC Suite ให้คลิกเลือกไอคอน Connect to the Internet ดังภาพประกอบ

  5. Connect Internet Nokia PC Suite

  6. จะมีหน้าต่างแสดง One Touch Access และโปรแกรมจะเชื่อมต่อให้ทันที
  7. ถ้าต้องการยกเลิกให้คลิกปุ่ม Disconnect

  8. One Touch Access with Nokia

  9. หลังจากเชื่อมต่อได้แล้ว จะมีไอคอนเล็กๆ แสดงการเชื่อมต่ออยู่บริเวณ Taskbar ขวามือด้านล่าง
  10. ทดสอบเข้าโปแกรม Browser ที่คุณใช้งาน หรือลองเช็คอีเมล์ดูครับผม

ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

  • สามารถเชื่อมต่อผ่าน BlueTooth แทนสาย USB ได้เช่นเดียวกัน
  • ข้อความระวังเรื่องค่าใช้จ่ายของการเชื่อมต่อผ่านน GRPS/EDGE/3G ควรสอบถามกับบริษัทที่เราใช้บริการก่อนน่ะครับ จะได้ไม่มากลุ้มใจในภายหลัง

7 เทคนิคใช้โซเชียลมีเดีย



พออ่านข้อความนี้แล้วลองคิดตาม ว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ความสุขลดลงจริงหรือไม่ หลายครั้งผมเองก็หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือสื่อสารต่างๆ ในยามพักผ่อน ลองนึกดูว่า คนที่ต้องเกาะติดอยู่กับโซเชียลมีเดีย ตลอดจะมีความสุขได้อย่างไร มีเทคนิคดังนี้
1. ใช้โซเชียลมีเดียให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตน เว็บโซเชียลมีเดียที่ มีกันอยู่หลากหลายนั้น ต่างมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น เฟซบุ๊ค สามารถสื่อสารได้ทั้งตัวอักษรและรูปภาพ หรือบริการบล็อกสั้นอย่างทวิตเตอร์นั้น ใส่ได้เฉพาะตัวอักษร หากมองกันดีๆ ทวิตเตอร์ ไม่สูบพลังงานมากเท่าเฟซบุ๊ค
2. ใช้ช่วยเหลือผู้อื่น ลองใช้ความสามารถ ความรู้ หรือประสบการณ์ของคุณที่มีอยู่ นำไปตอบคำถามของเพื่อนๆ หรือบางครั้งตอบให้กับคนที่ไม่รู้จักบ้าง ซึ่งการทำแบบนี้ก็จะทำให้รู้สึก ว่า สามารถช่วยเหลือคนอื่นในเรื่องที่ตนเองถนัด บางครั้งอาจไม่ใช่แค่การตอบคำถาม แต่เป็นการช่วยบอกต่อ เท่ากับช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น
3. ใช้สอบถามความคิดเห็น ที่ตัดสินใจไม่ถูกว่า จะเลือกทางไหนดี ให้ลองเขียนลงบนเฟซบุ๊ค หรือทวิตเตอร์ ถามไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คเหล่านั้น บางครั้งก็จะได้คำตอบที่ดีเกินคาด
4. ใช้ระบบส่งข้อความแบบส่วนตัวเพื่อสื่อสารเรื่องธุรกิจ ลองหันมาใช้ direct message ในทวิตเตอร์ หรือส่งข้อความส่วนตัวไปในเฟซบุ๊ค บางทีเพื่อนๆ หรือคนที่ติดตามอ่านเฟซบุ๊คของคุณอยู่ อาจอยากรู้ว่าคุณทำธุรกิจอะไร ที่ไหน บางครั้งเขาอาจกำลังมองหาคู่ค้าที่คุณถนัดอยู่พอดี หรือหากติดต่อสื่อสารกันไปได้จนสนิทสนม อาจสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจได้
5. ใช้เพื่อให้มีเพื่อนคอยปรึกษา หลายครั้งที่เราเกิดความเครียดจากการทำงาน หรือเรียน อาจใช้ทวิตเตอร์หาเพื่อนคุย ต้องระวังว่าอย่าเผลอไปใช้ข้อความที่หยาบคายหรือฟังดูแรงนะครับ เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจจะย้อนมาทำร้ายตัวเราได้ในอนาคต เช่น ตอนสมัครงาน เดี๋ยวนี้บางบริษัทมีการแอบไปอ่านเฟซบุ๊คของคนมาสัมภาษณ์ก่อนล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อเรียนรู้ตัวตนของผู้สมัครที่บางครั้งอาจไม่สามารถสอบถามได้หมดในระยะ เวลาสัมภาษณ์นัดไว้ เป็นต้น
6. ใช้เพื่อหาเพื่อนใหม่ ผมต้องสารภาพก่อนเลยว่าผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ หลายคนผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเพื่อนเหล่านี้ก็สนใจในเรื่องราวที่ผมสนใจเช่นกัน การพบเจอเพื่อนใหม่ ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องออกไปพบเจอกันตามสถานที่ต่างๆ เสมอไป แต่บางทีการรู้จักการผ่านรูปภาพและตัวอักษร ก็ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ง่ายขึ้น มากขึ้น โดยไม่รู้ตัวเชียวครับ
7. ใช้เพื่อหาข้อมูลความรู้ใหม่ ผมมักจะใช้ฟังก์ชันบุ๊คมาร์ค หรือ Add Favorite ของทวิตเตอร์อยู่บ่อยๆ เพราะเมื่อเราพบเห็นข้อความที่ดีๆ หรือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ผมก็จะรีบบุ๊คมาร์คเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยมาอ่านในภายหลังหากในขณะนั้นเรายังไม่ว่าง ซึ่งผมได้ข้อมูลในการทำงานหลายครั้งจากความพยายามที่จะ Add Favorite ข้อความที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา
ลองนำไปใช้กันดูนะครับ หวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ทุกท่านสามารถใช้งานโซเชียลมีเดียอย่าง มีความสุขตลอดปี 2554 และต้องขอขอบคุณภาพประกอบโดย FasTake ด้วยครับ สุดท้ายนี้ ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่กับท่านผู้อ่าน แม้ว่าจะได้มาสวัสดีช้าไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ก็ตาม

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ IE9


มาทำความรู้จัก Internet Explorer 9

เวอร์ชั่นถัดไปของ Internet Explorer 8 ซึ่ง ณ วันนี้ ธันวาคม 2510 ยังอยู่ในขั้นทดสอบอยู่ (Beta Version) แต่สามารถ download ไปใช้งานได้แล้ว แต่สำหรับผู้ใช้งานอย่างเราๆ ก็คงต้องเตรียมตัว และศึกษาการใข้งานกันสักนิด เพราะยังไงก็ตาม เราก็คงยังจำเป็นต้องใช้ Internet Explorer 9 นี้อย่างแน่นอน

เรื่องไม่ลับของ Internet Explorer 9

  1. ความต้องการระบบ ของ IE9
    ต้องเป็น Windows ขั้นต่อ คือ Windows Vista SP2 หรือ Windows 7 ขึ้นไป
  2. วิธีพิมพ์หน้าเว็บบน IE9
    ถ้าหาปุ่ม Print ไม่เจอ แนะนำให้กดปุ่ม Ctrl + P แทนจะดีกว่า รับรอง พิมพ์ได้ทุกหน้าที่ต้องการ
  3. Status Bar หายไป
    เพื่อให้หน้าจอมีพื้นที่การแสดงที่เพิ่มขึ้น IE9 จึงได้ซ่อน Status Bar ไว้เป็นการชั่วคราว แต่ถ้าคุณต้องการให้แสดง Status Bar เมื่อเดิม ให้ กดปุ่ม Alt จากนั้นคลิกเมนู View เลือก Toolbars และเลือกหัวข้อ Status Bar
  4. ปุ่ม E-mail หายใน IE9
    สำหรับ Internet Explorer 9 ได้ยกเลิกการแสดง E-mail เป็นการชั่วคราว แต่ถ้าเราต้องการให้แสดงเหมือนเดิม ให้กดปุ่ม Alt จากนั้นคลิกเมนู View เลือกหัวข้อ Toolbar และเลือกคำสั่ง Command Bar
  5. อยากส่งปัญหาของ IE9 ไปยัง Microsoft
    โดยปกติ เราคงได้พบหน้าต่าง Send Feedback เวลา IE มีปัญหา หรือ hangs แต่สำหรับ IE9 ถ้าเราต้องการแจ้งปัญหาไปยัง Microsoft เราสามารถทำได้อีกวิธีด้วยการกดปุ่ม Alt + X  จากนั้นบน เมนู Tools เลือก Send Feedback ได้เลย
ทิป เล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ที่สนใจทดสอบ Internet Explorer น่ะครับ  หวังว่าคงช่วยแก้ปัญหาส่วนหนึ่งของคุณได้บ้าง..

หาคีย์เวิร์ดโดนๆด้วย Google Insights


Google Insights เป็นหนึ่งในอีกหลายสิ่งที่ทำให้ผมอยากตื่นนอนตอนเช้าในช่วงนี้ หลังจากห่างหายเรื่องการหาคีย์เวิร์ดมานามพอสมควร วันนี้ดาวคีย์เวิร์ดขึ้นมาตรงหัวผมพอดี ถึงเวลาแล้วครับที่จะมาอัปเดทการใช้เครื่องมือหาคีย์เวิร์ดอย่าง Google Insights กันซักที
ไม่ว่าคุณจะทำเงินหรือทำการตลาดหรือทำมาหากินอะไรก็ตามตั้งแต่เปิดร้าน อาหาร สร้างโรงงาน นำเข้านำออกสินค้า และที่คุ้นเคยกันดีที่สุด การสร้าง Campaign Adwords, หาเงินกับ Affiliate และการหาเงินจากจำนวนคลิกกับ Ad Network อย่าง Google AdSense คุณก็ควรจะดูตาม้าตาเรือซักหน่อยว่าโลกเขาทำอะไรกันอยู่ ตลาดไหนมีแนวนโน้มที่จะดึงดูดคนมากขึ้นหรือน้อยลงตั้งแต่นี้ไป ไม่งั้นก็อาจจะต้องเสียเงินเสียเวลา และเหนื่อยฟรีได้ง่ายๆ
สมมุติโง่ๆ ว่า วันนี้ถ้าผมจะสร้างบล็อกเรื่องการเลือกซื้อทีวี แต่เลือกยี่ห้อไม่ถูกว่าจะเอา Sony หรือ Samsung เพราะดูจาก Google KW Tool แล้ว KW ทั้งสองก็มีการค้นหาที่พอไปวัดไปวาได้พอๆ กัน ผมจะรู้อนาคตได้ยังไงว่ายี่ห้อไหนจะทำให้อนาคตของบล็อกผมอับเฉาหรือดีได้ แล้วผมจะรู้ได้ยังไง หลายคนอาจตอบว่าก็ใช้ Google Trends สิรู้แน่ ใช่ครับรู้แน่ แต่ไม่รู้ทั้งหมดเท่า Google Insights อย่างแน่นอน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ?
Google Trends จะบอกคุณได้ถึงความนิยมของ KW แต่ KW นั้นคุณต้องคิดหามาเองเท่านั้น Trends มันจะไม่บอกไม่แนะนำถึง KW หรือนิชที่ใก้ลเคียงที่สอดคล้องและที่น่าสนใจอื่นๆ อีกเลยว่า KW ไหนกำลังมาแรงอีกบ้างเหมือนกับ Google Insights

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อใช้เฟซบุ๊ค


เรารู้ว่าคุณฉลาด และรู้จักใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก คุณไม่มีทางวิพากษ์วิจารณ์เจ้านายคุณทางเฟซบุ๊ค แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าพวกเขายังคงจับตาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ แต่ปล่อยให้ผ่านไป เพื่อล่อคุณให้ติดกับในครั้งหน้า!
เพราะฉะนั้น เราควรมาท่องกฎ 9 สิ่ง ที่ควรหลีกเลี่ยงการโพสต์ดีกว่า
1.โพสต์เรื่องคู่แข่งของคุณ
แม้ว่าคุณจะสาบานว่า คุณไม่เคยทำงานให้บริษัทคู่แข่ง และคิดว่ามันเป็นสถานที่ที่แย่ที่สุด แต่คุณคงไม่รู้ว่าวันหนึ่งออฟฟิศของคุณอาจจะรวมบริษัทกับนั้นก็ได้ ถ้าคู่แข่งของคุณเห็นโพสต์หรือทวีตที่โจมตี เขาจะต้องคิดว่ามันมาจากองค์กรของคุณ และคุณคงจะไม่อยากทำให้งานออกมาเสียจากเรื่องนี้ใช่ไหมหล่ะ
2.เย้าแหย่เพื่อน
แน่นอน มันคงสนุกดีถ้าเพื่อนสุดเลิฟของคุณเปลื้องบิกินี่ชิ้นบนออก แต่เธอคงไม่อยากฟังเรื่องนี้ในโลกออนไลน์ และไม่เพียงแค่นั้น คนอื่นจะมองว่าคอมเมนต์หรือภาพเหล่านั้น คุณนั่นแหละคือ "ยัยตัวร้าย"
3.โม้เรื่องตัวเอง
โอเค ทุกคนต่างเคยทำแบบนั้น ถ้าคุณช่วยคุณยายคนหนึ่งข้ามถนน มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะบอกเล่าให้คนอื่นฟังถึงความดีงามของคุณ แต่ไม่ว่าคุณจะทำตัวเป็นฮีโร่แค่ไหน ก็จะถูกมองว่าเป็นแค่ "คนขี้โม้" คนนึงเท่านั้น
4.เล่าเรื่องคนอื่น
ถ้าเพื่อนของคุณหมั้น หรือกำลังจะมีลูก หรือแต่งงาน จงรอจนกว่าเขาจะประกาศผ่านสื่อออนไลน์ด้วยตัวเอง ถ้าคุณเผลอพูดออกไปก่อน พวกเขาอาจจะโกรธที่คุณเที่ยวป่าวประกาศข่าวใหญ่ของพวกเขา
5.เมาท์ถึงการนัดพบสุดเจ๋ง
แม้ว่าคุณจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน การทวีตข้อความยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเรื่องการนัดพบกับใครบางคนอาจจะทำให้เขาถึงกับหัวเสีย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พวกเขาอาจไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องที่ไปเจอคุณก็ได้
6.โพสต์เรื่องเด็กๆ
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นลูกเป็นหลานของคุณ ผู้ปกครองจะเจอปัญหาเมื่อปล่อยให้คนอื่นโพสต์ภาพลูกหลานของพวกเขาลงสื่อออนไลน์ ถ้าคุณอยากจะโพสต์รูปสุดน่ารักของเด็กๆ เหล่านั้นจนห้ามไม่ได้ กรุณาอีเมล์ไปขออนุญาตผู้ปกครองเขาก่อน พวกเขาจะซาบซึ้งมาก
7.งดดราม่า
ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือแฟน คงไม่ใช่เรื่องดีที่จะบอกเล่าให้คนอื่นฟัง เพราะความรู้สึกของคุณมันเปลี่ยนได้ในวันรุ่งขึ้น แค่โทรหรือส่งข้อความหาเพื่อนสักคนก็พอมั้ง
8.อย่าเท้าความถึงอาการเมาปลิ้น
เรารู้ว่าคุณฉลาดพอที่จะไม่เขียนว่า "ฉันกำลังเมาปลิ้นเลยหย่ะ" แม้แต่การพูดเป็นนัยก็ดูไม่ดี ขอแนะนำว่าอาการเมาของคุณมัน "เยอะ" พอกับสิ่งที่คุณพ่นออกมานั่นแหละ
9.อย่าพูดเรื่องการเมือง!
ทุกคนมีความเห็น และแม้ว่าคุณจะมีเพื่อนที่ไม่เห็นด้วยอยู่ไม่มาก แต่ก็จงงดพูดเรื่องการเมืองซะ และพยายามอย่าวกไปที่เรื่องเหล่านั้น